ระบบจะตอบกลับภายใน 24 ชั่วโมง
ขอบคุณสำหรับข้อเสนอแนะและข้อมูลเพิ่มเติม เราจะนำข้อมูลของท่านไปพัฒนาระบบให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อย
เมื่อย หรือ มะเมื่อย ชื่อวิทยาศาสตร์ Gnetum montanum Markgr. จัดอยู่ในวงศ์ GNETACEAE
มะเมื่อย มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะม่วย (เชียงใหม่), ม่วย (เชียงราย, อุบลราชธานี), ม่วยขาว เมื่อยขาว (อุบลราชธานี), แฮนม่วย (เลย), เถาเมื่อย (สุโขทัย), เมื่อย (ตราด), แฮนเครือ, มะเมื่อย, ม่วยเครือ เป็นต้น
ลักษณะของมะเมื่อย
ต้นมะเมื่อย มีถิ่นกำเนิดในราชอาณาจักรเนปาล โดยจัดเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง หรือเป็นไม้พุ่มรอเลื้อยขนาดใหญ่ เลื้อยพันไปตามต้นไม้ใหญ่ มีความสูงได้ประมาณ 5-10 เมตร ลำต้นแตกกิ่งก้านมาก เปลือกนอกแตกเป็นสะเก็ด เปลือกต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลปนดำ กิ่งเป็นข้อต่อกันและตามข้อพองบวม ลักษณะเป็นข้อปล้อง มักพบขึ้นได้ตามป่าดิบแล้ง
สรรพคุณของมะเมื่อย
ตำรายาไทย เถาหรือลำต้นมีรสขื่นเฝื่อน มีสรรพคุณทำให้จิตใจชุ่มชื่น และทำให้แข็งแรง (ลำต้น)
ชาวเขาเผ่าอีก้อจะใช้ใบเมื่อยขาวนำมาต้มกับน้ำดื่ม ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น (ใบ)
รากนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้มาลาเรีย (ราก)
ยาพื้นบ้านอีสานจะใช้ลำต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มช่วยในการอยู่ไฟของสตรี บำรุงร่างกายของสตรีหลังการคลอดบุตร (ลำต้น)
ใบนำมาต้มกับน้ำใช้ชะล้างแผลสด แผลเปื่อยอักเสบ ฝี หนอง และตุ่ม (ใบ)
น้ำต้มรากใช้กินเป็นยาแก้พิษได้บางชนิด (ราก)
เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บวมพอง (เปลือกต้น)
ตำรายาไทยจะใช้เถาหรือลำต้นเป็นยาแก้เมื่อย ทำให้เส้นเอ็นหย่อน ส่วนตำรับยาพื้นบ้านอีสานจะใช้ลำต้นผสมกับลำต้นของเถาเอ็นอ่อน นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดเมื่อย (ลำต้น)
ประโยชน์ของมะเมื่อย
เมล็ดหรือผล นำมาทำให้สุกหรือต้มใช้รับประทานได้
ใบใช้รับประทานเป็นผัก
เมล็ดให้น้ำมัน หรือนำมารับประทาน หรือใช้ทำไวน์ได
เปลือกต้นมีความเหนียวมาก สามารถนำมาใช้ทำเชือกได้[3]
เส้นใยจากเปลือกสามารถนำมาใช้ทำกระสอบหรือแหจับปลาได
ส่วนชาวขมุและชาวเมี่ยนจะใช้เครือนำมาทำสายหน้าไม้ เพราะมีความเหนียวมาก
อ้างอิง https://medthai.com/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2/